วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

โครงการเรียนรู้เชิงวิชาการจากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย






ณ. แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์









         โครงการบ้านหลังเรียน “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์” บ้านกุดแคน ต.หนองโน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของ “ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช” อดีตครูประชาบาลที่มีความต้องการสร้างโรงเรียนให้ชุมชน และเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปทำกิจกรรมเสี่ยง ด้วยการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อกันเด็กและเยาวชนไม่ให้หลงทางเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในสังคม ให้หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ภายใต้แนวคิดเด็กนำผู้ใหญ่หนุนโดยมีดร.ประสพสุข ฤทธิเดช หรือ “อาจารย์ป้าต๋อย” ผู้อำนวยการและผู้ประสานงานแหล่งเรียนรู้ชุมชนฯ



สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ คลิกที่นี่

โครงการเรียนรู้จากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย

ณ บ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช

 

แหล่งเรียนรู้ชุมชน ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์ สืบสานเจตนารมณ์บรรพบุรุษจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียน สอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชน

              แหล่งเรียนรู้รู้ชุมชนหรือบ้านหลังเรียนของหลวงปู่ทวดครูสิงห์ ซึ่งเป็นสถานทีบ้านหลังเล็กเปรียบเหมือนสถานศึกษาศิษย์ที่บุตรและธิดาได้สืบสานอุดมการณ์ต่อจากวิถีคิดของพ่อกับแม่ว่า ต้องการสร้างโรงเรียนให้การศึกษาแก่บุตรหลานในชุมชนตนเอง ที่บ้านกุดแคนหมู่ 6 ตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์และแม่สง่า ฤทธิเดช ได้ร่วมกันจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์แม่สง่า ฤทธิเดช เปิดสอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชนตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยเปิดทำการสอนให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 80 คน จาก 12 หมู่บ้าน เปิดเรียนวันเสาร์ และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.30 น.-12.30น.โดย โดยห้องเรียนใช้บริเวณห้องโถงข้างบ้าน และสวนหลังบ้านใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ



 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศเพื่อการศึกษา






สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ คลิกที่นี่
 
 
 
 
 
นิทานเรื่อง เสือกับความมั่นใจ
 
ผู้แต่ง
 
นางสาวปัทมา  เจินยุหะ
 
จำนวน 12 หน้า
สามารถดาวน์โหลด คลิกที่นี่
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

           




                   ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ้คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา หลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือนำไปสอนได้ด้วย

อย่าลืมนะค่ะ เป็นเว็บที่อยากจะแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะทำหนังสือแบบทำมือและทำเป็นอีบุ้ค (e-book)

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

นิราศ

 

นิราศตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า

นิราศ    (กริยา) ไปจาก ระเหเร่ร่อน ปราศจาก
              (นาม)  เรื่องราวที่พรรณนาถึงการจากกัน หรือจากที่อยู่ไปในที่ต่างๆ มักแต่งเป็นบทกลอน เช่น นิราศเมืองแกลง นิราศนรินทร์
 ลักษณะหนังสือนิราศ  พอสรุปได้ ๒ ลักษณะคือ
            1.  เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่ออารมณ์กวี  อันเนื่องมาจากเดินทางพลัดพรากจากที่อยู่เดิมไปชั่วคราว
            2. เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อสะท้อนทัศนะกวี จดเป็นจดหมายเหตุและประมวลสภาพที่เดินทางไปพบเห็น
 ความเป็นมาของกลอนนิราศ
          นิราศเป็นวรรณกรรมที่นิยมแต่งมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมนิยมแต่งเป็นโคลง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมแต่งเป็นกลอน การที่กวี
นิยมแต่งนิราศ สันนิษฐานว่าเพราะการเดินทางในสมัยก่อนต้องใช้เวลาในการเดินทาง ถ้าไปทางบกใช้เกวียน ถ้าไปทางเรือ ก็ใช้เรือแจวเรือพาย
กวีจึงแก้ความเบื่อหน่ายด้วยการระบายความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นตัวอักษร พรรณนาหนทางที่ผ่านไปและรำพันถึงนางอันเป็นที่รัก
            จุดสำคัญของการแต่งนิราศจึงอยู่ที่ การจากคนรัก เมื่อจากก็เป็นทุกข์ เมื่อเกิดทุกข์ก็ต้องคร่ำครวญ  ดังที่สุนทรภู่ขึ้นต้นนิราศอิเหนาว่า
นิราศร้างห่างเหเสน่หา นั้นน่าจะเป็นคำนิยามให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าหนังสือได้มีการพัฒนาจากเคหสถาน บรรยายสิ่งที่พบเห็นระหว่างทางแต่
ไม่ได้กล่าวถึงการจากหญิงที่รักมา ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือนิราศ คงเป็นเพียงหนังสือบันทึกการท่องเที่ยวเท่านั้น
 การตั้งชื่อเรื่องนิราศ
1. ตั้งชื่อตามชื่อผู้แต่ง เช่นนิราศนรินทร์
2. ตั้งชื่อตามสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง เช่น หม่อมราโชทัยไปงานทูตที่กรุงลอนดอน เรียก นิราศลอนดอน สุนทรภู่เดินทางไปจังหวัด
ต่างๆ ก็เรียกชื่อตามจังหวัดนั้นๆ เช่น นิราศสุพรรณ  นิราศเมืองแกลง
3. เรียกตามเนื้อหาที่พรรณนา เช่น นิราศอิเหนา นิราศเดือน (พรรณนาตามเดือนต่างๆ)
ลักษณะคำประพันธ์
เป็นไปตามนิยมของแต่ละสมัย หรือตามความพอใจของกวีเอง เช่น แต่งเป็นกลอน โคลง กาพย์ ฉันท์ เป็นต้น
ถ้าแต่งเป็นโคลง  ส่วนมากขึ้นต้นด้วยร่าย  ที่มีใจความสดุดีบ้านเมือง
ในสมัยปัจจุบันแต่งนิราศด้วยกลอนสุภาพและกลอนนิราศที่เป็นตัวอย่างในการแต่งต่อๆ มา คือกลอนนิราศของสุนทรภู่ เพราะมี กระบวนกลอนที่ไพเราะมีสัมผัสในกลอนนิราศ
ลักษณะข้อบังคับของกลอนนิราศเหมือนกลอนสุภาพทุกประการ แต่กลอนนิราศจะขึ้นต้นบทวรรคที่ 2 หรือวรรครับ และแต่งต่อไปจนจบเรื่อง          ลงท้ายบทตอนจบด้วยคำว่า เอย” 

 

                       รายชื่อหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์

            ซีไรท์ ทับศัพท์มาจากคำว่า S.E.A. Write ซึ่งย่อมาจาก Southeast Asian Writers' Award หมายถึง รางวัลวรรณกรรมที่มอบ ให้แก่ นักเขียน 10 ประเทศอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ชื่อเต็มในภาษาไทย คือ "รางวัลวรรณกรรมดีเด่นอาเซียน" แต่มักจะเรียกย่อๆว่า รางวัล ซีไรท์ อันเป็นชื่อซึ่งรู้จักกันทั่วไปในวงการ ประพันธ์ของประเทศไทย
ประวัติความเป็นมาของรางวัลซีไรท์
เมื่อต้นปี พ.ศ. 2522 ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลได้ริเริ่มรางวัลนี้ เนื่องจากโรงแรมโอเรียนเต็ลมีประวัติเกี่ยวข้องกับนักเขียนชั้นนำของโลกมาเป็นเวลาช้านาน จะเห็นได้จากการที่จัดส่วนหนึ่งเป็น " ตึกนักเขียน" (AUTHORS' RESIDENCE) ขึ้น ประกอบด้วยห้องชุดพิเศษ โดยใช้ชื่อนักเขียนคนสำคัญที่เคยมาพัก ได้แก่ ซอมเมอร์เซ้ท มอห์ม, โนเอล โคเวิด, โจเซฟ คอนราด และเจมส์ มิเชนเนอร์ นอกจากนี้ยังมีห้องชุด เกรแฮม กรีน, จอห์นเลอ คาร์เร่ และ บาบาร่า คาร์แลนด์ ในตึกริเวอร์วิงด้วย ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลจึงได้ร่วมปรึกษากับ บริษัท การบินไทย และกลุ่มบริษัทในเครือ อิตัลไทย จัดตั้งรางวัลวรรณกรรมนี้ขึ้น โดยมีพระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าเปรม บุรฉัตร ทรงเป็นประธานและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ต่อมามูลนิธิจิม ทอมป์สัน ได้เข้าร่วมในปี พ.ศ. 2524 (แต่ถอนตัวออกในปี 2530), ธนาคารกรุงเทพ เข้าร่วมในปี พ.ศ. 2527 และ บริษัทริชมอนเด้ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วมในปี พ.ศ. 2531 หัวข้อในการหารือในครั้งนั้นคือ การส่งเสริมนักเขียนในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 และการเผยแพร่ให้โลกรู้ถึงวัฒนธรรมทางวรรณกรรมของภูมิภาคนี้


ครั้งที่
ปี
ชื่อหนังสือ
ชื่อผู้แต่ง
ประเภท
1
2522
ลูกอีสานคำพูน บุญทวีกวีนิพนธ์
2
2523
เพียงความเคลื่อนไหวเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์กวีนิพนธ์
3
2524
ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสางอัศศิริ ธรรมโชติเรื่องสั้น
4
2525
คำพิพากษาชาติ กอบจิตตินิยาย
5
2526
นาฏกรรมบนลานกว้างคมทวน คันธนูกวีนิพนธ์
6
2527
ซอยเดียวกันวานิช จรุงกิจอนันต์เรื่องสั้น
7
2528
ปูนปิดทองกฤษณา อโศกสินนิยาย
8
2529
ปณิธานกวีอังคาร กัลยาณพงศ์กวีนิพนธ์
9
2530
ก่อกองทรายไพฑูรย์ ธัญญาเรื่องสั้น
10
2531
ตลิ่งสูง ซุงหนักนิคม รายยาวานิยาย
11
2532
ใบไม้ที่หายไปจิรนันท์ พิตรปรีชากวีนิพนธ์
12
2533
อัญมณีแห่งชีวิตอัญชันเรื่องสั้น
13
2534
เจ้าจันทร์ผมหอมมาลา คำจันทร์นิยาย
14
2535
มือนั้นสีขาวศักดิ์ศิริ มีสมสืบกวีนิพนธ์
15
2536
ครอบครัวกลางถนนศิลา โคมฉายเรื่องสั้น
16
2537
เวลาชาติ กอบจิตตินิยาย
17
2538
ม้าก้านกล้วยไพวรินทร์ ขาวงามกวีนิพนธ์
18
2539
แผ่นดินอื่นกนกพงศ์ สงสมพันธ์เรื่องสั้น
19
2540
ประชาธิปไตยบนเส้นขนานวินทร์ เลียววารินทร์นิยาย
20
2541
ในเวลาแรคำ ประโดยคำกวีนิพนธ์
21
2542
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนวินทร์ เลียววารินทร์เรื่องสั้น
22
2543
อมตะวิมล ไทรนิ่มนวลนิยาย
23
2544
บ้านเก่าโชคชัย บัณฑิตกวีนิพนธ์
24
2545
ความน่าจะเป็นปราบดา หยุ่นเรื่องสั้น
25
2546
ช่างสำราญเดือนวาด พิมวนานิยาย
26
2547
แม่น้ำรำลึกเรวัตร์ พันธ์พิพัฒน์กวีนิพนธ์
27
2548
เจ้าหงิญบินหลา สันกลาคิรีเรื่องสั้น
28
2549
ความสุขของกะทิงามพรรณ เวชชาชีวะนวนิยาย
29
2550
โลกในดวงตาข้าพเจ้ามนตรี ศรียงค์บทกวี
30
2551
เราหลงลืมอะไรบางอย่างวัชระ สัจจะสารสินรวมเรื่องสั้น
31
2552
ลับแล แก่งคอยอุทิศ เหมะมูลนวนิยาย

คำราชาศัพท์ 

 
คำราชาศัพท์ หมายความว่า ศัพท์หลวง ศัพท์ราชการ และหมายรวมถึงคำสุภาพซึ่งนำมาใช้ให้ถูกต้องตามชั้นหรือฐานะของบุคคล บุคคลผู้ที่พูดต้องใช้ราชาศัพท์ด้วย
จำแนกเป็น 5 ประเภท คือ
1. พระมหากษัตริย์
2. พระบรมวงศานุวงศ์
3. พระสงฆ์
4. ข้าราชการชั้นสูงหรือขุนนาง
5. สุภาพชนทั่วไป

คำราชาศัพท์แบ่งได้  6 หมวด คือ
1. หมวดร่างกาย
2. หมวดเครือญาติ
3. หมวดเครื่องใช้
4. หมวดกริยา
5. หมวดสรรพนาม
6. หมวดคำที่ใช้กับพระสงฆ์
หมวดร่างกาย
หมวดเครือญาติ    
หมวดเครื่องใช้
หมวดคำกริยา
หมวดสรรพนาม
หมวดคำที่ใช้กับพระสงฆ์


คำสุภาพ
คำที่เหมาะใช้กับบุคคลทั่วไป เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน



ข้อสังเกต
เกี่ยวกับการใช้คำราชาศัพท์ ระดับพระมหากษัตริย์และบรมวงศานุวงศ์
คำนาม
1. ใช้คำ “พระบรม” หรือ “พระบรมราช” นำหน้าคำนามที่สำคัญ ซึ่งสมควรจะเชิดชูให้เป็นเกียรติ
ตัวอย่าง พระบรมราชโองการ
พระบรมราชูปถัมภ์
พระบรมมหาราชวัง
พระบรมวงศานุวงศ์
2. ใช้คำ “พระราช” นำหน้าคำนามที่ใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องการกล่าวไม่ให้ปนกับพระบรมวงศานุวงศ์ ตัวอย่าง
พระราชลัญจกร
พระราชประวัติ
พระราชดำริ
พระราชทรัพย์
3. ใช้คำ “พระ” นำหน้าคำนามทั่วไปเพื่อให้แตกต่างจากสามัญชน ตัวอย่าง
พระเก้าอี้
พระชะตา
พระโรค
พระตำหนัก
4. ใช้คำ “พระ” นำหน้าคำนามทั่วไปเพื่อให้แตกต่างจากสามัญชน
ยกเว้น
คำกริยา


กริยา คำว่า “ทรง”
คำว่าทรง ทรง ตามด้วย คำนาม มีความหมายถึง กษัตริย์เทพเจ้า
ตัวอย่าง ทรงธรรม ทรงชัย ทรงฉัตร     หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน
    ทรงหงส์            หมายถึง พระพรหม
    ทรงโค              หมายถึง พระอิศวร
    ทรงครุฑ            หมายถึง พระนารายณ์
คำว่าทรง คำนาม ตามด้วย ทรง บอกให้ทราบว่า สิ่งนั้นเป็นของพระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ตัวอย่าง เครื่องทรง รถพระที่นั่งทรง ม้าทรง
คำว่าทรงตามด้วยนามราชาศัพท์  ตัวอย่าง ทรงยินดี ทรงฟัง ทรงนิ่ง
คำว่าทรงหมายถึงทำ ตัวอย่าง ทรงบาตร     หมายถึง ใส่บาตร
    ทรงม้า        หมายถึง ขี่ม้า
    ทรงกรม        หมายถึง มีฐานันดรเป็นเจ้าต่างกรม
คำว่าทรงเมื่อใช้กับกริยา “มี” และ “เป็น”
• ถ้าคำนามข้างหน้าเป็นราชาศัพท์ ไม่ต้องใช้ทรง
ตัวอย่าง เป็นพระราชโอรส มีพระบรมราชโองการ
• ถ้าคำนามข้างหลังเป็นคำสามัญ ต้องใช้ทรง
ตัวอย่าง ทรงเป็นประธาน ทรงมีทุก

โวหารภาพพจน์ในวรรณคดีไทย

 
  การใช้ภาพพจน์ในวรรณคดี
 ภาพพจน์  หมายถึง  คำ  หรือ  กลุ่มคำ  ที่สร้างขึ้นจากกลวิธีในการใช้คำ  เพื่อให้ปรากฏภาพที่เด่นชัดและลึกซึ้งขึ้นในใจทำให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดจินตภาพคล้อยตาม  การสร้างภาพพจน์เป็นสิลปทางภาษาขั้นสูงของการแต่งคำประพันธ์  โดยผู้แต่งใช้กลวิธีการเปรียบเทียบที่คมคายในลักษณะต่างๆ  ภาพพจน์มีหลายประเภท  แต่ที่สำคัญๆ  คือ


 ๑.  อุปมา


การเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง  โดยใช้คำเชื่อมเหล่านี้ "เหมือน ราว ราวกับเปรียบ ดุจ ประดุจ ดัง ดั่ง เฉก เช่น เพียง เพี้ยง ประหนึ่ง ถนัด กล เล่ห์ ปิ้มว่า ปาน ครุวนา ปูน พ่าง ละม้าย แม้น"


 ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม  เพริศพริ้มเพรารับกับขนง

(อิเหนา)
ใช่นางเกิดในปทุมา       สุริยวงศ์พงศานั้นหาไม่
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้        อันจะได้นางไปอย่าสงกา
(อิเหนา)

ครั้นวางพระโอษฐ์น้ำ  เวียนวน  อยู่นา
เห็นแก่ตาแดงกล            ชาดย้อม
หฤทัยระทดทน              ทุกข์ใหญ่  หลวงนา
ถนัดดั้งไม้ร้อยอ้อม           ท่าวท้าวทับทรวง 
                                                            (ลิลิตพระลอ)

 ๒.  อุปลักษณ์
การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักใช้คำว่า "คือ" และ "เป็น" เช่น ครูคือเรือจ้าง ทหารเป็นรั้วของชาติ

          ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล   คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น        บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
(นิราศเมืองแกลง)

 บางครั้งภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ไม่มีคำกริยา "คือ" และ "เป็น" ให้สังเกต เราจะต้องตีความเอาเอง เช่น

             ก้มเกล้าเคารพอภิวาท           พระปิ่นภพภูวนาถนาถา
ยับยั้งคอยฟังพระวาจา                     จะบัญชาให้ยกโยธี
(อิเหนา)


 ในที่นี้ เปรียบพระมหากษัตริย์เป็นปิ่นของแผ่นดิน

        ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง     บาทา อยู่เฮยด
จึงบอาจลีลา                คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา              แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้                 ส่งข้าอัญขยม
(ขัตติยพันธกรณ๊)

 ในที่นี้ เปรียบภาระหน้าที่เป็นตะปูที่ตรึงเท้าไว้

         อัจกลับแก้วในทิพยสถานไกลลิบลิ่ว    ฉายแสงสาดหาดทรายทอสีเงินยวง ต้องกรวหินสินแร่บางชนิดแวววาว  งามรังสีแจ่มจันทร์เจ้าวาวระยับ ย้อยลงในแควแม่น้ำไหล ไหวๆ แพรวพราวราวเกล็ดแก้วเงินทอง
(บันทึกของจิตรกร, อังคาร  กัลยาณพงศ์)

 ในที่นี้ เปรียบพระจันทร์เป็นอัจกลับแก้ว  หรือโคมไฟที่ส่องสว่างกระจ่างตา

                     เดือนตกไปแล้ว  ดาวแข่งแสงขาว  ยิบ ๆ ยับ ๆ เหมือนเกล็ดแก้วอัน สอดสอยร้อยปักอยู่เต็มผ้าดำผืนใหญ่  วูบวาบวิบวับส่องแสง  ใหญ่แลน้อย ใกล้แลไกล...
(เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาติอินทร์แขวน, มาลา คำจันทร์)

  ในที่นี้ เปรียบ ท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นผ้าดำผืนใหญ่
               ภาษาอุปลักษณ์ นอกจากจะปรากฎในงานประพันธ์แล้ว ยังปรากฎใช้ในภาษาชีวิตประจำวัน   เช่น ศึกฟุตบอลโลก ไฟสงคราม ตะเข็บชายแดน ในที่นี้ กวีเปรียบน้ำค้างมีประกายวาวเหมือนประกายของเพชรน้ำงาม และเปรียบหญ้าเป็นผืนพรม เพื่อทำ
ให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพชัดเจนว่า น้ำค้างนั้นมีประกายวาวงามและต้นหญ้านั้นก็เขียวขจีปูลาดเป็นพรม   แต่ถ้ากล่าวว่า "น้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด" ข้อความนี้มิได้มุ่งหมายจะเปรียบลักษณะของน้ำตาว่าเหมือนสายเลือด  แต่เน้นย้ำเชิงปริมาณว่าร้องไห้ใจจะขาด ดังนั้น "น้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด" ประโยคนี้เป็นอติพนจ์

 ๓) บุคคลวัต

 การสมมุติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการ ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่น ดวงตะวัน แย้มยิ้ม, สายลมโลมไล้เอาอกเอาใจ
พฤกษาลดามาลย์
ต้นไม้แต่งตัว   อยู่ในม่านมัวของหมอกคราม
บ้างลอกเปลือกอยู่ปลามปลาม  บ้างแปรกิ่งประกบกัน
บ้างปลิวใบสยายลม   บ้างชื่นชมช่อชูชัน
บ้างแตกกิ่งอวดตาวัน   บ้างว่อนไหวจะร่ายรำ
บ้างเตรียมหาผ้าแพรคลุม  บ้างประชุมอยู่พึมพำ
ท่านผู้เฒ่าก็เตรียมทำ  พิธีสู่ขวัญผู้เยาว์
ม่านหมอกค่อยคล้อยคลี่  เผยเวทีอันพริ้งเพราด
หมู่ไม้ร่าเริงเร้า   จะต้อนรับฤดูกาล
(เพลงขลุ่ยผิว, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)


 ๔) อติพจน์


การเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความที่เกินจริง มักเปรียบเทียบในเรื่องปริมาณว่ามีมากเหลือเกิน มีเจตนา
เน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เช่น ร้อนตับแตก, คอแห้งเป็นผง, รักคุณเท่าฟ้า, มารอตั้งโกฎิปีแล้ว, ใจดีเป็นบ้า,
อกไหม้ไส้ขม, เหนื่อยสายตัวแทบขาด
นี่ฤาบุตรีพระดาบส   งามหมดหาใครจะเปรียบได้
อนิจจาบิดาท่านแสร้งใช้  มารดต้นไม้พรวนดิน
ดูผิวสินวลละอองอ่อน  มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น
สองเนตรงามกว่ามฤคิน  นางนี้เป็นปิ่นโลกา
(ศกุนตลา)
ตราบขุนคิริขัน   ขาดสลาย  ลงแม่
รักบ่หายตราบหาย   หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย   จากโลก  ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า   ห่อนล้างอาลัย
(นิราศนรินทร์)
เสียงไห้ทุกราษฎร์ไห้  ทุกเรือน
อกแผ่นดินดูเหมือน   จักขว้ำ
บเห็นตะวันเดือน   ดาวมือ มัวนา
แลแห่งใดเห็นน้ำ   ย่อมน้ำตาคน
(ลิลิตพระลอ)


 ๕) นามนัย


การใช้คำหรือวลีที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงความหมายแทนสิ่งนั้นทั้งหมด เช่น
ใช้ เวที แทน การแสดง มงกุฎ, พระบาท แทน กษัตริย์ เก้าอี้ แทนตำแหน่งหน้าที่ของผู้บริหาร ข้าวปลา แทน อาหาร
...ว่านครรามินทร์  ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราช เยียววิวาทชิงฉัตร
(ลิลิตตะเลงพ่าย)
ฉัตรเป็นชื่อเครื่องสูงอย่างหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับพระมหากษัตริย์ แสดงความเป็นกษัตริย์ ในที่นี้ กวีใช้ ฉัตร 
ให้หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ หรือความเป็นกษัตริย์
(๑)  ยิงร่านมันกินมาหลายวัน  อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
(๒)  ถ้าแพ้ลงคงปรับทับทวี  เลือดเนื้อเท่านี้เป็นเงินทอง
(๓)  ขุดเผือกมันสู่กันมาตามจน  พักร้อนผ่อนปรนมาในป่า
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)
ข้อ (1) ยุงร่าน เป็นนามนัยแทนสัตว์ที่กินเลือดเป็นอาหาร ข้อ (2) ใช้ เลือดเนื้อแทนชีวิต และข้อ (๓) เผือกมัน
เป็นนามนัยแทนอาหารที่หาได้ตามป่าตามเขา 

 ๖)  สัญลักษณ์

การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะภาวะบางประการร่วมกันเป็นการสร้างจินตภาพซึ่งใชั
รูปธรรมชักนำไปสู่ความหมายอีกชั้นหนึ่ง  ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่เข้าใจในสังคม เช่น ใช้ ดอกไม้ แทน ผู้หญิง เพราะมีคุณสมบัติ
ร่วมกัน คือความสวยงามและความบอบบาง ใช้ ราชสีห์ แทน ผู้มีอำนาจ เพราะราชสีห์และผู้มีอำนาจต่างมีคุณสมบัติร่วมกัน
คือความน่าเกรงขาม
ตัวอย่าง สัญลักษณ์ที่มักพบเห็นกันเสมอๆ เช่น
จามจุรี แทน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รุ้ง แทน ความหวัง พลัง กำลังใจ
หมอก แทน มายา อุปสรรค สิ่งที่สลายตัวรวดเร็ว
นกพิราบ แทน  สันติภาพ
ดอกมะลิ แทน ความบริสุทธิ์ ความชื่นใจ
สวัสดิกะ แทน เยอรมันยุคนาซี 

 7) สัทพจน์ (Onomatopoeia) คือ การเปรียบเทียบโดยใช้คำเลียนแบบให้เห็นท่าทาง แสง สี ได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือ หลายอย่างรวมกันก็ได้ มักจะพบในความเป็นธรรมชาติ หรือเครื่องดนตรี หรือเครื่องใช้ตามวิถีชาวบ้าน เช่น
เสียงโหม่ง หม่อง ฆ้องตีเคล้าปี่พาทย์ เสียงเตรง เตร่ง ระนาดชัดจังหวะ
เสียงตะโพน เท่งติง ติง เท่งป๊ะ  เสียงกลองแขก โจ๊ะ จ๊ะ โจ๊ะ โจ๊ะ
( มโหรีชีวิต : แก้วตา  ชัยกิตติภรณ์ )

 8) วิภาษ (Oxymoron) การเปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือสิ่งที่ตรงข้ามกันนำมาจับเข้าคู่กัน เช่น กากับหงส์ ดินกับฟ้า
มืดกับสว่าง ดังตัวอย่างเช่น
ความมือแผ่รอบกว้างสว่างหลบ รอบใจพลบแพ้พ่ายสลายขวัญ
ชวนกำสรดซบหน้าซ่อนจาบัลย์  วะหวิวหวั่นหวาดหวังว่ายังคอย
(มือกับสว่าง : อรฉัตร   ซองทอง)

 9) อรรถวิภาษ (Paradox) คือ การเปรียบเทียบการใช้คำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันแต่เมื่อพิจารณาความหมายลึกซึ้งโดย
แท้จริงแล้วอาจเข้ากันได้  หรือนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน
เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
ดวงตาจึงมองเห็นธรรมสืบตำนาน ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา
(แสงเทียนแสงธรรม : เสมอ  กลิ่นประทุม)
ริบหรี่ กับ แสง มีความหมายตรงข้ามกันสิ้นเชิง ครั้นเมื่ออยู่ในประโยคเดียวกันก็มีเนื้อความเรื่องเดียวกัน

 10) อธินามนัย (Metonymy) คือ การเปรียบเทียบ โดยจาระไนของหลาย ๆ อย่างที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึง
กันมากล่าวนำ และสรุปความหมายรวม คือใช้ชื่อเรียกรวม ๆ แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
เลือดสุพรรณวันก่อนเคยร้อนรุ่ม หลั่งลงรุ่มฉาบดินทุกถิ่นฐาน
บัดนี้เย็นเป็นสุขทุกประการ  เพราะไทยหาญหวงถิ่นไว้ให้ไทยเอย
(เลือดสุพรรณ : ประสิทธิ์  โรหิตเสถียร)
คำว่าไทย ในบทกลอนข้างต้น หมายถึง เฉพาะชาวไทย มิได้หมายถึงประเทศไทยหรือเชื้อชาติหรือสัญชาติ
แต่อย่างใด จึงเรียก อธินามนัย ส่วน ไทย ่คำหลังหมายถึงประเทศไทย

 11) ปฏิพากย์


การนำเอาคำและความหมายที่ไม่สอดคล้องกันและดูเหมือนจะขัดแย้งกันมารวมไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดผลการสื่อสาร
เป็นพิเศษ เช่น น้ำผึ้งขม, คาวน้ำค้าง, ศัตรูคือยากำลัง, ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า, รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ, น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย,
แดดหนาว, มีความเคลื่อนไหวในความหยุดนิ่ง
แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง  เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง  โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น
(วารีดุริยางค์, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)
เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น  เธอตายเพื่อผู้อื่นนับหมื่นแสน
เธอเป็นดินก้อนเดียวในดินแดน  แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน
(กระทุ่มแบน, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)
ในบทประพันธ์นี้  กล่าวถึงหญิงสาวผู้ใช้แรงงานในโรงงานแห่งหนึ่งที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร  ถูกทำร้าย
ถึงแก่ชีวิต  ในครั้งที่ประท้วงต่อสู้กับนายทุนในยุคก่อนปีพุทธศักราช 2514 ซึ่งเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบานของเมืองไทย  กวีได้
กล่าวว่าการตายของชนผู้ใช้แรงงานนี้เป็นการตายที่มีคุณค่า  อาจปลุกจิตสำนึกของผู้คนในสังคมได้และกล่าวเปรียบหญิงผู้ใช้แรงงาน
นั้นเป็นดินที่แม้จะเป็นเพียงดินก้อนเดียว แต่ดินก้อนนี้ "หนักและแน่นเต็มแผ่นดิน" การกล่าวว่า เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น และ 
ดินก้อนเดียวที่หนักแน่นเต็มแผ่นดิน เป็นปฏิพากย์


 12) อุปมานิทัศน์

การใช้เรื่องราวนิทานขนาดสั้นหรือขนาดยาวประกอบ ขยาย หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจน
แจ่มแจ้งในแนวความคิด หลักธรรม หรือข้อควรปฏิบัติที่ผู้เขียนประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่านผู้ฟัง เช่น
ปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วหลายอย่าง  ด้วยประชานกชาวสวนจิตรลดาฯ นี้มีเพิ่มเติมขึ้น แต่ก่อนนี้ มีอีกา
มีนกพิราบ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะดูไป ก็จะเห็นว่ามีหงส์ทั้งขาวทั้งดำเพิ่มขึ้นมา และมีนกกาบบัว มีนกยูงเพิ่มเติมขึ้นมา ที่พูดถึงประชานกนี้ก็
เพราะว่าเมื่อดุลย์ของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป ก็จะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ้าง... อีกาเป็นใหญ่อีกาจะตีนกพิราบ แล้วนกพิราบก็จะตีนกเอี้ยง ที่มีจำนวนมากเหมือนกัน นกเอี้ยงก็จะตีนกกระจอก ส่วนนกกระจอกก็ไม่ทราบว่าเขาไปตีใคร เห็นได้ว่าเขาตีกันเป็นลำดับชั้นไป จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ รู้สึกว่านกกระจอกจะสูญพันธุ์ แต่ว่าอีกาก็ยังมีอยู่ อีกาก็ได้ไปเยี่ยมบ้านใกล้เคียงมาหลายครั้ง ทำให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่ผู้ที่อยู่ ที่ทำงานในบ้านเหล่านั้น แต่ว่าอีกานั้น ที่อยู่ได้ก็เพราะว่าเกรงใจนกกาบบัว ถ้าไม่เกรงใจนกกาบบัว อีกาก็จะสูญพันธุ์เพราะว่านกกาบบัว ซึ่งเป็นคล้าย ๆ นกกระสา แม้มีอยู่เพียงสิบกว่าตัว แต่เป็นนกที่ใหญ่ และเมื่อมาใหม่ ๆ ยังเป็นเด็ก ๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะประพฤติตนให้ดีเมื่อถูกอีกาเข้าโจมตี แต่ด้วยความเป็นนกใหญ่ นกกาบบัวจึงเตะอีกาเป็นอันว่าอีกาก็เข็ดหลาบ ไม่สามารถที่จะจู่โจมตีนกกาบบัวได้ จึงอยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่ทะเลาะกันต่อไป และนกกาบบัวนี้ก็ได้รับอาหารประจำวัน อีกาก็มาปันส่วนด้วย ทุกวันนี้ก็จะเห็นได้ว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติ ดุลย์ของธรรมชาติก็เกิดขึ้นได้ ชักนิยายเรื่องนกมา ก็เพื่อให้เห็นว่าตอนแรก ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการทะเลาะกัน แต่เมื่อเข็ดหลาบอย่างหนึ่ง หรือมีความคิดที่ถูกต้อง ที่จะช่วยกันดำเนินชีวิตร่วมกันก็อยู่ได้โดยสันติ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำอันตรายกันดุลย์ของธรรมชาติจึงเกิดขึ้น
(พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)