นิราศ
นิราศตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า
นิราศ (กริยา) ไปจาก ระเหเร่ร่อน ปราศจาก
(นาม) เรื่องราวที่พรรณนาถึงการจากกัน หรือจากที่อยู่ไปในที่ต่างๆ มักแต่งเป็นบทกลอน เช่น นิราศเมืองแกลง นิราศนรินทร์
ลักษณะหนังสือนิราศ พอสรุปได้ ๒ ลักษณะคือ
1. เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่ออารมณ์กวี อันเนื่องมาจากเดินทางพลัดพรากจากที่อยู่เดิมไปชั่วคราว
2. เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อสะท้อนทัศนะกวี จดเป็นจดหมายเหตุและประมวลสภาพที่เดินทางไปพบเห็น
ความเป็นมาของกลอนนิราศ
นิราศเป็นวรรณกรรมที่นิยมแต่งมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมนิยมแต่งเป็นโคลง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมแต่งเป็นกลอน การที่กวี
นิยมแต่งนิราศ สันนิษฐานว่าเพราะการเดินทางในสมัยก่อนต้องใช้เวลาในการเดินทาง ถ้าไปทางบกใช้เกวียน ถ้าไปทางเรือ ก็ใช้เรือแจวเรือพาย
กวีจึงแก้ความเบื่อหน่ายด้วยการระบายความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นตัวอักษร พรรณนาหนทางที่ผ่านไปและรำพันถึงนางอันเป็นที่รัก
จุดสำคัญของการแต่งนิราศจึงอยู่ที่ “การจากคนรัก” เมื่อจากก็เป็นทุกข์ เมื่อเกิดทุกข์ก็ต้องคร่ำครวญ ดังที่สุนทรภู่ขึ้นต้นนิราศอิเหนาว่า
“นิราศร้างห่างเหเสน่หา” นั้นน่าจะเป็นคำนิยามให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าหนังสือได้มีการพัฒนาจากเคหสถาน บรรยายสิ่งที่พบเห็นระหว่างทางแต่
ไม่ได้กล่าวถึงการจากหญิงที่รักมา ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือนิราศ คงเป็นเพียงหนังสือบันทึกการท่องเที่ยวเท่านั้น
การตั้งชื่อเรื่องนิราศ
1. ตั้งชื่อตามชื่อผู้แต่ง เช่นนิราศนรินทร์
2. ตั้งชื่อตามสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง เช่น หม่อมราโชทัยไปงานทูตที่กรุงลอนดอน เรียก “นิราศลอนดอน” สุนทรภู่เดินทางไปจังหวัด
ต่างๆ ก็เรียกชื่อตามจังหวัดนั้นๆ เช่น นิราศสุพรรณ นิราศเมืองแกลง
3. เรียกตามเนื้อหาที่พรรณนา เช่น นิราศอิเหนา นิราศเดือน (พรรณนาตามเดือนต่างๆ)
ลักษณะคำประพันธ์
เป็นไปตามนิยมของแต่ละสมัย หรือตามความพอใจของกวีเอง เช่น แต่งเป็นกลอน โคลง กาพย์ ฉันท์ เป็นต้น
ถ้าแต่งเป็นโคลง ส่วนมากขึ้นต้นด้วยร่าย ที่มีใจความสดุดีบ้านเมือง
ในสมัยปัจจุบันแต่งนิราศด้วยกลอนสุภาพและกลอนนิราศที่เป็นตัวอย่างในการแต่งต่อๆ มา คือกลอนนิราศของสุนทรภู่ เพราะมี กระบวนกลอนที่ไพเราะมีสัมผัสในกลอนนิราศ
ลักษณะข้อบังคับของกลอนนิราศเหมือนกลอนสุภาพทุกประการ แต่กลอนนิราศจะขึ้นต้นบทวรรคที่ 2 หรือวรรครับ และแต่งต่อไปจนจบเรื่อง ลงท้ายบทตอนจบด้วยคำว่า “เอย”